ย้อนกลับไป “The Amazing Spider-Man” ภาคแรก ผมให้คำนิยามแก่ภาคนั้นไว้ว่า “ตื่นตาตื่นใจกว่าที่คิด แม้กระนั้นยังไม่จับอกจับใจซักเท่าไหร่” ด้วยเหตุผลหลักคือถึงแม้ Spider-Man เวอร์ชัน Marc Webb จะมีงานสร้างที่ดูน่าประทับใจและก็ตรงจิตใจ Comic ไม่น้อย แม้กระนั้นในฐานะคนที่มิได้ตาม Comic ยังมีความคิดว่ามันยังไปไม่สุดในด้านอารมณ์ความรู้สึก ซึ่งปัญหาเหล่านั้นก็ยังคงอยู่ในภาค 2 ถ้าหากถามว่า “The Amazing Spider-Man 2″ สนุกมั้ย ตอบได้เลยว่าสนุก แม้กระนั้นถ้าหากถามว่าสุดมั้ย บอกเลยว่าไม่
หนัง Superhero ภาคต่อมีจุดเหนือกว่าหนังภาคแรกตรงที่ไม่ต้องเสียเวล่ำเวลาเล่าแหล่งกำเนิดอีกต่อไป สามารถเล่าราวที่ต้องการได้เต็มกำลัง แม้กระนั้นในช่วงนี้ คนจำนวนไม่น้อยอยากดูหนัง Superhero ที่เป็นมากกว่าเพียงแค่หนัง Superhero หนังภาคต่อก็เลยต้องสร้างสรรค์ Theme ของเรื่องให้น่าดึงดูดเพียงพอ ไม่งั้นมันจะแปลงเป็นเพียงแค่งานที่ซ้ำจากจำเจ ขายสินค้าเก่า แม้กระนั้นไม่มีอะไรให้จำ อย่าง Spider-Man 2 มี Theme หลักคือ “เหนื่อยที่จะเป็น Spider-Man” Iron Man 3 มี Theme “ถ้าหากไม่มีชุดแล้วจะเป็นยังไง” The Dark Knight ใช้ Theme “จะตายอย่างวีรบุรุษ หรืออยู่กระทั่งเห็นตัวเองเป็นวายร้าย” หรืออย่าง Captain America: The Winter Soldier ก็มี Theme หลักว่าด้วย “ความไม่ไว้ใจ” คำถามคือ The Amazing Spider-Man 2 มี Theme หลักหรือไม่
คำตอบคือ “ไม่ทราบเหมือนกัน” Spider-Man ภาคนี้มีข้อความสำคัญ มีเรื่องราว มิได้กะขาย Action สิ่งเดียว แม้กระนั้นช่วงเวลาเดียวกันข้อความสำคัญที่หนังต้องการจะเล่ามันก็เยอะแยะ กระทั่งล้น ผสมกันไม่ลงตัว และก็คิดไม่ตกว่าจะยกเรื่องไหนเป็นประเด็นหลักดี แถมเพียงพอถึงช่วงจะเฉลยคำตอบปิดข้อความสำคัญ ก็ฉุดกระชากเกินไป กระทั่งน่าเสียดายสิ่งที่พยายามปูมา ตั้งแต่ข้อความสำคัญเรื่อง “บิดา” ที่ปูกันมาภาคที่แล้ว ราวกับจะให้เป็นประเด็นหลัก แม้กระนั้นเพียงพอมาเฉลยคำตอบในภาคนี้ก็มิได้มีความคิดว่ามันเป็นสิ่งที่น่าทึ่งอะไร ข้อความสำคัญครอบครัวระหว่าง “Peter” กับ “ป้า May” ก็ไปไม่สุดและก็แปลงเป็นเพียงแค่ฉากเฮฮาๆเสียมากกว่า ข้อความสำคัญความรักของ “Peter” (Andrew Garfield) กับ “Gwen” (Emma Stone) ซึ่งดูน่ารักดี แม้กระนั้นเพียงพอถึงบทสำคัญ กลับให้เวลาน้อยเกินไป แถมในช่วงท้ายหนังยังพยายามใส่ข้อความสำคัญ Spider-Man Return เข้ามาอีก ทั้งๆที่ข้อความสำคัญในช่วง 10 นาทีท้ายที่สุดมันสามารถเอาขยายไปเป็นอีกภาคได้เลย เพียงพอเอามาเล่าในระยะเวลาเพียงแค่ 10 นาที มันเลยมีความคิดว่าไม่สุด และก็แปลงเป็นส่วนเกินไป
สไปเดอร์แมน 1 ผ่านมาที่ฝั่งตัวร้าย ภาคนี้ก็ยังคงปัญหาเดิมๆคือ “น่าผิดหวัง” โดยเฉพาะ “Electro” ที่อุตส่าห์ได้ Jamie Foxx มาเล่น และก็การปูข้อความสำคัญเรื่อง Nobody และก็การเปลี่ยนจาก Fanclub มาเป็น Anti-fan ในช่วงแรกก็ดูน่าดึงดูดดี แม้กระนั้นพอกลายเป็นมนุษย์ไฟฟ้าเต็มกำลัง Electro ก็แปลงเป็นเพียงแค่ตัวร้ายดาษๆที่มีไว้โชว์ Effect งามๆเวลาสู้กับ Spider-Man อีกที ส่วน “Harry Osborn” (Dane DeHaan) หนังก็ปูเรื่องราวของ Harry ได้ไม่สุด ไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์ของเขากับเพื่อนเก่า Peter หรือความเกี่ยวข้องของ Harry กับบิดา ทำให้มิติของ Harry ดูก่อนบเรียบไปหน่อย แถมเพียงพอช่วงแปลงเป็น Green Goblin ก็ดูความน่าสะพรึงกลัวจะน้อยกว่าตอนเป็น Harry เสียอีก แม้กระนั้นอย่างต่ำ Dane ในช่วงที่เป็น Harry ก็ยังเพียงพอทำให้พวกเราได้มั่นใจว่า ไอ้เด็กคนนี้มันสามารถเป็นหัวหน้าทีมวายร้าย The Sinister Six ได้ (หนังภาคแยกที่ Sony คิดแผนจะสร้างถัดไป) ส่วนตัวร้ายอีกคนภายในเรื่องอย่าง “Rhino” (Paul Giamatti) งานดีไซน์งาม แม้กระนั้นรู้สึกว่าถ้าหากเอาออกไปก็คงจะช่างเถิด
แม้กระนั้น ถ้าหากดูเอาสนุก The Amazing Spider-Man 2 ก็ยังให้ได้ในจุดนี้ ซึ่งต้องขอบคุณมากงานด้านภาพและก็เสียงที่ช่วยดึงอารมณ์ สร้างความตื่นเต้นให้กับพวกเราได้พอสมควร คิดออกว่า Marc Webb เคยพูดว่า เหตุที่เลือก Electro มาเป็นวายร้ายภาคนี้ เนื่องจากว่าเอื้อให้หนังสร้างและก็ใส่ฉาก Action อันสดใหม่และก็น่าละลานตาเข้าไป ซึ่ง Marc ก็บอกถูก VFX สายฟ้าของ Electro ทำออกมาได้อย่างงาม ยิ่งประสานกับมุมกล้องที่มีใช้ Slowmotion แบบพอดิบพอดีๆทำให้ดูแล้วมันส์มากมาย แม้กระนั้นที่เด่นที่สุดคืองานด้านเสียง ที่ Marc เลือกใช้แนวเพลงแบบ Dupstep (แนวอิเล็กทรอนิกส์แบบหนึ่ง) ถือว่าแปลกใหม่มากมายกับหนัง Superhero แม้กระนั้นก็กับตัว Spider-Man มากมาย เนื่องจากว่าฟังแล้วมันให้ความรู้สึกวัยรุ่นปนสั้นๆแบบที่ Spider-Man เป็น หลายช่วงงานด้านเสียงเด่นมากมาย กระทั่งต้องโยกตัวไปตามจังหวะดนตรีเลย
จะว่าไปก็ไม่แปลกใจที่งานด้านเสียงและก็ภาพจะสะดุดตาขนาดนี้ เนื่องจากว่า Marc Webb นั้นเติบโตมาจากสายควบคุม MV อยู่แล้ว งานที่ผมถูกใจมากมายของ Marc อย่าง 500 Days of Summer ก็เป็นงานที่ใช้เสียงดนตรีผลักดันอารมณ์ได้อย่างน่าประทับใจ แม้กระนั้นในขณะเดียวกัน การที่ Marc มาจากสาย MV ก็อาจก่อให้ Marc มีปัญหากับการเล่าหนังปริมาณยาวได้เหมือนกัน The Amazing Spider-Man 2 ให้ความรู้สึกราวกับการนั่งดู MV ดีๆหลายตัว ซึ่งถ้าหากดูแยกเป็น MV ไป มันจะดูดีมากมาย แม้กระนั้นเพียงพอจับเอามารวมกัน ภาพรวมกลับออกมาแบบขาดๆเกินๆไปแทน
อย่างหนึ่งที่มีความคิดว่าขาดมาตั้งแต่ภาคที่แล้วก็คือ การเป็น Superhero สู้ชีวิตของ Spider-Man ฐานะไม่ค่อยดี ต้องดำเนินงานไปด้วย เรียนไปด้วย ช่วยคนไปด้วย ช่วงเวลาเดียวกันก็ต้องพยายามรักษาความรักของตนให้รอด ไม่ทราบเป็นความตั้งมั่นหรือยังมิได้เล่าของผู้ผลิต ที่กลับเลือกละทิ้งสเน่ห์ส่วนนี้ไป และก็หันไปเน้นเฉพาะมุมมองความสั้นแทน Spider-Man ในแบบ Andrew Garfield แปลงเป็น Spider-Man ที่ดูสมบูรณ์แบบเกินไป (ยิ่งใบหน้าพี่เอ็งก็หล่อชอบใจสาวอยู่แล้ว) ดูไม่ค่อยมีเรื่องให้เดือดเนื้อร้อนใจเท่าใด ขนาดฉากสำคัญช่วงท้าย ก็ให้เวลาซึมเศร้าเพียงแค่ไม่นาน รวมทั้งไปข้อความสำคัญอื่น
ทดลองคิดเล่นๆว่าถ้าหากสมมุติ หนังลดข้อความสำคัญอันวุ่นวายในภาคนี้ลงให้เหลือแค่เรื่องความรักของ Peter กับ Gwen เป็นหลัก ซึ่งเป็นจุดที่ทำเป็นดีมากอยู่แล้ว เนื่องจากว่า Marc ถนัดแนวนี้อยู่แ้ล้ว ยิ่งในชีวิตจริงทั้ง Andrew กับ Emma ก็คบกันจริง ยิ่งเพิ่มพลังจิ้นเข้าไปใหญ่ และก็เพิ่มเติมอีกประเด็นการสู้ชีวิตของ Spider-Man เข้าไป มันอาจก่อให้พวกเราได้หนัง Superhero ที่โรแมนติกที่สุดมาก็ได้ (อาจแถมน้ำเสียนิดด้วยๆ) และก็ฉากสำคัญช่วงท้ายเรื่องก็จะยิ่งทรงอำนาจได้มากกว่านี้
สรุปคือ Spider-Man ภาคนี้ก็เป็นภาคที่ดูสนุกนั่นแหละ แม้กระนั้นมันความสนุกสนานร่าเริงที่ไม่ประทับใจ ถ้าหากสมมุติอีก 5 ปีด้านหน้า Sony เกิด Remake/Reboot ไอ้แมงมุมขึ้นมาใหม่อีก พวกเราก็พร้อมที่จะลืมเลือนภาคนี้ไปได้โดยง่าย