มินเนียน

มินเนี่ยน

เรื่องย่อ:
เรื่องราวของเจ้ามินเนี่ยน เริ่มต้นที่รุ่งสว่างแห่งระยะเวลา …มินเนี่ยน เป็นสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวสีเหลืองที่ได้ผ่านการพัฒนาการรวมทั้งปฏิบัติหน้าที่รับใช้บรรดานายจ้างวายร้ายแสบขั้นเทพ พวกมินเนี่ยนที่ล้มเหลวชั่วกับชั่วกัลป์สำหรับการรักษาชีวิตนายจ้างของตัวเองเอาไว้ นับตั้งแต่ หน.เร็กซ์ จวบจนถึงนโปเลียน พวกมันพบว่าตนเองไม่มีนายจ้างรวมทั้งจมอยู่ในความกลัดกลุ้ม แต่เมื่อมินเนี่ยนตัวหนึ่งนามว่า เควิน มีแผนสำหรับการรวมทั้งได้ร่วมมือกับสตวร์ทจอมเกรียน รวมทั้งบ็อบน้อยผู้น่ารักน่าเอ็นดู สำหรับการออกผจญภัยในโลกกว้างเพื่อหานายจ้างวายร้ายคนใหม่สำหรับมันรวมทั้งเพื่อนพ้อง ทั้งสามได้ออกผจญภัยสุดระทึกจนถึงไปพบกับคนที่อาจจะเป็นนายจ้างใหม่อย่าง สการ์เล็ต โอเวอร์คิล (แซนดรา บุลล็อค) จอมวายร้ายหญิงคนแรกของโลก พวกมันเดินทางจากทวีปเยือกแข็งแอนตาร์กติกามายังนิวยอร์กสิตี้ในสมัย 60’s รวมทั้งไปลงเอยอยู่ในลอนดอน ที่ซึ่งพวกมัน ควรต้องเผชิญหน้ากับความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดจนถึงปัจจุบันนี้ โน่นเป็นการคุ้มครองเหล่า มินเนี่ยน…จากการถู มินเนี่ยน

รีวิว:
เชื่อมั๊ยว่าคนที่ไปดูเป็นพวกบ้าเห่อ… ชั้นก็คนนึงอะ เป็นพลอตหนังมันเป็นอะไรที่โอเค น่าดึงดูดระดับนึงกับการกลับไปพบแหล่งกำเนิดของเหล่ามินเนี่ยน (ที่เข้าใจผิดมาตั้งนานว่าสร้างจากเซลล์ของนักแสดง Gru: Despicable Me) แต่จริงๆเป็น… ไม่ทราบก็ได้ (นี่พูดจริง) ในความคิดเห็นโดยส่วนตัวของเราหนังมันแอบหมดเสน่ห์ไป เนื่องจากว่าเกือบจะทั้งเรื่องซึ่งมีก็เพียงแต่ตัวเหลืองเหล่านี้ แล้วเราก็ฟังมันไม่รู้เรื่อง เว้นแต่ซะว่าคุณจะเป็นผู้ที่มีความเชี่ยวชาญสัก 15 ภาษาขึ้นไปการันตีฟังเข้าใจแน่ๆหลายๆคนกล่าวว่ามันผสมๆไม่กี่ภาษาเอง ใช่ ภาคแรกๆอาจจะใช่ มาภาคนี้ชั้นว่าไม่ใช่ละ เว้นแต่ อังกฤษ, สเปน, ฝรั่งเศษ, อิตาลี ล่าสุดมีภาษาอินโดนีเซียด้วยข่า

มินเนี่ยน 1-1

จุดสังเกตุ: เวลาแต่ละตัวพูดขอบพระคุณจะพูดแตกต่างกัน ในหนังประเด็นนี้เราแอบฟัง กราเซียส(สเปน) กับ Terima Kasih(อินโดฯ) ออกเลยมานั่งช็อคอยู่คนเดียวถึงความหมดกำลังใจสำหรับการผลิตดิกชันนารีเวอร์ชันภาษามินเนียน… (เกลียดคนพัฒนาบทสนทนา ม่างโคตรคดโกง)

การดูการ์ตูนประเด็นนี้ราวกับย้อนกลับไปดู Tom and Jerry ที่แบบเป็น Slap Stick Comedy ทั้งเรื่อง (ขบขันเจ็บตัว ฟาดหัว ระเบิดตกใส่ อะไรพวกนี้) เลวเป็นปกติการ์ตูน Slap Stick มันสั้นๆ3-15 นาทีไม่เกินนี้ นี่ล่อเข้าไปเป็นชั่วโมง โอ๊ยปวดใจ ราวกับนั่งดูโดดเดี่ยวไมค์พี่โน้ส อุดมเลยอะ บางทีการตีตั๋วมาดูหนังเราก็อยากได้อะไรไปๆมาๆกกว่าเพียงแค่ขบขันไงจำได้มั๊ย?

นี่เครียดจากการพยายามวิเคราะห์หนังหนักมาก ละบรรดามินเนียนตัวเหลืองก็พากเพียรเบนความสนใจให้เราไปพอใจมันมากกว่าสภาพแวดล้อมรอบตัว
บ้าที่สุด

สรุป: ถ้าเกิดดูแบบไม่คิดอะไร ผ่อนคลาย สบายๆไปดูกับลูก กับแฟน ก็เอนเตอร์เทนดีค่ะ แต่หาสาระอะไรมิได้ จริงๆนะ มันเป็นการกลับไปดูว่า Gru กับเจ้ามินเนียนเหล่านี้โคจรมาเจอกันได้ยังไง โดยมี Set Up เป็น สมัย 60-70 ที่ตรงนี้แอบขัดใจทำให้เราคิดว่าเห้ยยย Gru แก่ขนาดนั้นเลยอ่อ?? ในหนังมีความคิดว่าสักสามสิบกลางแต่ถ้าเกิดนางเกิดสมัย 60 นี่ก็ไม่ใช่ละ มายก็อด…

มินเนี่ยน 1-2

ให้แต้ม 6/10

ถึงจะชอบเหล่านี้แค่ไหนแต่ในทางของหนังมันไปไม่สุดสักทางจริงๆอะ ขบขันก็ได้ไม่สุดเนื่องจากว่าพวกมันคุยกันไม่รู้เรื่อง เราก็ไม่รู้เรื่อง(ฮา) ดราม่าก็… เกือบจะไม่มี เป็นราวกับทุกอย่าง “พากเพียร” ทำออกมาให้มันดูขบขัน ให้มีเรื่องมีราวราว มันกลายเป็นหนังตลกที่ยัดเยียดมุกใส่ผู้ชมตลอดระยะเวลา ดูละเหนื่อยแทน กลับไปเปิด KingsMan : The Secret Service ดูอีกครั้งดีมากยิ่งกว่า ในความรู้สึกเรานะ มันเป็นหนังสำหรับเด็กที่ใส่ Set Up เป็นสมัยเก่าเพื่อพ่อแม่ดูแล้วเพลินไปกับลูกๆด้วยงี้ ฟีลลิ่งเราราวกับโดนบังคับให้ดู Tom and Jerry มาราธอนสักชั่วโมงได้ คือ ออกมาละเบื่อเลยอะ

ปล. ชอบ Bob นะ นางราวกับหนู Agnes มากๆเราจะเก็บ Box Set อยู่ดี เนื่องจากว่ายังหา Despicable Me ภาค 1 มาเก็บมิได้ เราว่าเรื่องที่เล่าในมุมคนมันอินกว่าการเล่าในมุมมินเนียน ยังไงก็ไม่อินจริงๆได้แต่ดูไปเพลินๆขำๆแล้วก็จบๆไป โอเค บาย

Minions

 มินเนียน