“โอม เปล่งขำ” มือคีย์บอร์ดวงบอดี้สแลม ออกมาโพสต์ผ่านเฟซบุ๊กปกป้อง “ตูน บอดี้สแลม” ที่ออกมาโปรโมตกิจกรรมวิ่งเพื่อสุขภาพเพื่อหาทุนการศึกษาช่วยเหลือเด็ก 109 คนจนกลายเป็นดรามา วอนลดอคติ ชี้ “ตูน” วิ่งรับบริจาคช่วยให้คนรอดตายและได้เรียนจนจบ ยันการวิ่งรับบริจาคเป็นกระบอกเสียงในแบบของเขา

จากกรณี ตูน บอดี้สแลม เชิญทุกคนฟิตร่างกาย แล้วมาวิ่งไปด้วยกัน เพื่อหาทุนเล่าเรียนให้แก่น้องๆในโครงการ “ก้าวเพื่อน้องปีที่ 2 เวอร์ชวลรัน ๑๐๙ คำขอบบุญคุณณ” เป็นการสืบต่อกิจกรรมวิ่ง ก้าวเพื่อน้องเวอร์ชวลรันในปี 2563 ซึ่งรายได้ทั้งสิ้นไม่หักค่าใช้สอย ถูกนำไปใช้ช่วยเหลือน้องๆที่จบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 แม้กระนั้นยังไม่มีทุนไปต่อ ม.ปลาย หรือสายอาชีพ ได้ทั้งสิ้น 109 คน กลับถูกกลุ่ม 3 นิ้วไม่เห็นพ้อง ให้ความคิดเห็นติชมจำนวนมาก จนกระทั่งใจความสำคัญดังที่กล่าวถึงมาแล้วติดเทรนด์ทวิตเตอร์ อย่างไรก็แล้วแต่ ยังมีชาวเน็ตอีกกลุ่มหนึ่งหนุนพี่ตูนอยู่และคิดว่าความประพฤติปฏิบัติของพี่ตูนมิได้ไปหนักหัวคนใดกัน

ปัจจุบันตอนวันที่ 22 ธ.ค. “โอม เปล่งแสงขำ” มือคีย์บอร์ดวง Bodyslam ได้โพสต์เนื้อความลงในเฟซบุ๊กส่วนตัว “Ohm Plengkhum” ถึงใจความสำคัญดังที่กล่าวถึงมาแล้วด้วยเหมือนกัน โดยมีใจความว่า

“ในระหว่างที่สังคมมานั่งโต้เถียงกันว่ามันเป็นหน้าที่ของเมือง, การบริจาคไม่ช่วยไขปัญหาอะไร, ทำไมถึงไม่ออกมาเป็นปากเสียง..บลาๆๆๆ
โน่นขอรับ มีคนกำลังจะตายเพราะขาดอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่มีไม่เพียงพอ..มีเด็กมากไม่น้อยเลยทีเดียวที่อยากเรียนหนังสือต่อ
แม้กระนั้นไม่มีทุนทรัพย์ การวิ่งก่อนหน้านี้ไขปัญหาได้หรือเปล่าได้ไม่รู้จัก แม้กระนั้นมันมีคนรอดพ้นจากความตายจากอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่เขาหาให้ได้จริง ซึ่งหนึ่งในนั้นบางทีอาจเป็นคนสนิทของผู้ที่ด่าเขา
ตอนนี้ มีคนหายจากอุปกรณ์ทางการแพทย์จากมูลนิธิ มีเด็กๆได้เรียนหนังสือจนกระทั่งจบ ม.6 อีกร้อยกว่าคน และก่อนหน้านี้ที่ผ่านมาเขาก็ออกมาเป็นปากเสียงส่งไปถึงทุกคนแล้ว “ในแบบของเขาเอง” โดยผ่านการวิ่งของตน มิเช่นนั้นทุกคนจะตระหนักได้หรือการเรี่ยไรบริจาคมันไม่ใช่การแก้ปัญหาแบบจีรังยั่งยืน

ที่จะไม่เห็นพ้องหรือเปล่าถูกใจ ผมว่าไม่ใช่ปัญหาเลยหากทุกคนตัดสินมันจากหลักการและเหตุผล และข้อมูล “เรื่องจริง” ที่วิเคราะห์แล้วอย่างระมัดระวังไม่ใช่การเอาอคติและอัตตาเป็นที่ตั้ง หรือเพียงแค่เพราะเขาไม่ทำในสิ่งที่หลายๆคนอยากที่จะให้ทำ ปัญหาที่มองเห็นเป็นปัญหาโครงสร้างเชิงแผนการที่มัน “ไม่อาจจะแก้ได้โดยคนผู้เดียว” และไม่สามารถแก้ได้ด้วยเวลาวันสองวันขอรับ

วันหนึ่ง พวกเราบางครั้งก็อาจจะได้ใช้อุปกรณ์ทางการแพทย์ที่มูลนิธิหามาให้อันมีต้นเหตุจากเงินที่เราร่วมใจกันบริจาค วันหนึ่งพวกเราบางครั้งก็อาจจะได้แพทย์, ทนายความมือดี, ตำรวจ อื่นๆอีกมากมาย จากทุนเล่าเรียนที่มูลนิธิมอบให้ก็ได้นะครับ”